หน้า 7 หลัง 7 เจ็บกันเยอะแล้ว!!
ผมไม่รู้ใครเป็นคนบัญญัติสูตรนี้ขึ้นมา มันสร้างความเจ็บปวดมาแยะแล้ว สักแต่ได้ยินมาแล้วก็เอามาใช้ ใช้โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร บางคนก็ว่าหลังจากรอบเดือนหมดแล้วก็นับหนึ่ง
" ก็..บอกว่า "หลัง" หลังก็ต้องหมดแล้วซิ "
ใช่เลยครับ.....ก็..เรียบร้อยยยย... ท้องซิครับ
ความหมายที่แท้จริง
7 หน้าหมายความว่า 7 วันก่อนรอบเดือนจะมา
7 วัน หลังหมายความว่า 7 วันนับจากวันแรกที่รอบเดือนมา
สมมุติว่ารอบเดือนมาวันที่ 10 11 12 13
7วันหน้า หรือ7วันก่อน คือวันที่ 3 4 5 6 7 8 9
7 วันหลัง คือวันที่ 10 11 12 13 14 15 16
กรณี 7 วันหลัง
ถ้าไม่มีการร่วมเพศในวันที่มีรอบเดือน ก็แปลว่าจะมีวันที่มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยแค่ไม่กี่วัน ถ้ามีรอบเดือน 3 วัน ก็มีวันปลอดภัยเหลือ 4วัน ถ้ารอบเดือนมา 5 วันก็จะมีวันปลอดภัยเหลือ 2 วัน ตรงไปตรงมา (ถ้าคุณจะฝ่าไฟแดงก็สามารถทำได้ แต่ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่มีอันตรายอะไร)
กรณี7วันหน้า หรือ7วันก่อน
ก็แปลว่าคุณต้องรู้ว่าจะมีรอบเดือนคราวต่อไปเมื่อไหร่ คุณจึงสามารถกะได้ว่า 7 วันนั้นคือวันที่เท่าไหร่ สมมุติว่าคุณสามารถกะได้ว่ารอบเดือนคุณจะมาเดือนหน้าวันที่ 13 คุณก็รู้ได้ว่าวันปลอดภัยคือวันที่ 6 7 8 9 10 11 12 ดังนั้นพอถึงวันที่ 6 คุณก็รู้ว่าถึงวันปลอดภัยแล้ว มีเพศสัมพันธ์กันได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะตั้งครรค์
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเดือนหน้ารอบเดือนจะมาเมื่อไหร่
การนับวันปลอดภัยนี้ใช้ได้เฉพาะคนที่มีรอบเดือนมา "สม่ำเสมอ" เท่านั้น เช่น
คนหนึ่งมีระยะรอบเดือน28วัน ก็แปลว่าทุกๆ 28 วันก็จะมีรอบเดือนครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมาวันแรกวันที่ 20 กันยายน นับมาอีก 28 วัน ครบ28 วันตรงกับวันที่ 17 ตุลาคม พอวันที่18 ตุลาคมรอบเดือนก็จะมา เดือนหน้านับไปอีก 28วัน ก็จะครบ28วันตรงกับวันที่14 พฤศจิกายน รอบเดือนก็จะมาวันที่ 15 พฤศจิกายน อย่างนี้เรียกว่ารอบเดือน"มาสม่ำเสมอ" หรือ"มาตรงกำหนด" (แต่ไม่ตรงวันที่ของปฎิทิน]
หรืออีกคนมีระยะรอบเดือน 32 วัน ก็แปลว่าทุกๆ 32 วันจะมีรอบเดือนมาครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมา วันที่ 11 เมษายน นับมาอีก 32วัน จะครบวันที่ 12 พฤษภาคม ดังนั้นวันที่ 13 พฤษภาคมรอบเดือนก็จะมา คนๆนี้ก็สามารถคาดได้ว่าเดือนมิถุนายน รอบเดือนจะมาวันที่ 14 มิถุนายน ช่วงปลอดภัยของเธอคือ 7 8 9 10 11 12 13 มิถุนายน
กรณีที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถใช้วิธีนับวันปลอดภัยได้
อย่างบางคน รอบเดือนมาสะเปะสะปะ เดือนก่อนโน้น มาวันที่ 15ของปฏิทิน เดือนต่อมามาวันที่ 12 แล้วเดือนต่อมามาวันที่ 19 หรือเอาแน่นอนไม่ได้ มาบ้างไม่มาบ้าง อย่างนี้จะใช้วิธีนับวันปลอดภัยไม่ได้
ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันมีรอบเดือนจะปลอดภัยไหม
โดยปกติก็ปลอดภัย ถ้ารอบเดือนคุณไม่มามากกว่าคราวละ 7วัน
ถ้ามีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไปวันสองวันจะปลอดภัยไหม
กรณีนี้ต้องอธิบายยาวหน่อย สิ่งแรกที่คุณต้องทราบก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีไข่สุกแล้วไม่มีการปฏิสนธิ อีก 14 วันรอบเดือนก็จะมา สมมุติว่าไข่ตกวันที่ 12 มิถุนายน แล้วไม่มีเพศสัมพันธ์กันเลย วันที่ 26 มิถุนายน รอบเดือนก็จะมา
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไข่จะตกเมื่อไหร
คนที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาสะเปะสะปะ มาบ้างไม่มาบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้ ก็ไม่มีทางคำนวนได้
แต่ถ้ารอบเดือนมาสม่ำเสมอ คุณกะวันที่รอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ คุณก็สามารถกะวันไข่ตกได้ เช่น ระยะรอบเดือนของคุณมาทุก 26 วันแน่นอน ครบ 26 วันก็มา อย่างนี้คุณก็สามารถกะวันรอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ เช่น เดือน มิถุนายน รอบเดือนมาวันที่ 11 นับไปอีก 26 วัน ก็ตรงกับวันที่ 6กรกฏาคม ดังนั้นเดือนกรกฏาคม รอบเดือนควรมาวันที่ 7
นับถอยหลังมา 14 วัน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มิถุนายน ก็คือวันไข่สุก นั่นคือวันไม่ปลอดภัยสุดๆ
แต่การสุกของไข่ก็ไม่ได้เป๊ะๆ อย่างนั้น อาจสุกก่อนหน้านั้นสองวัน หรือหลังนั้นวันสองวันก็ได้ จึงต้องเผื่อไว้อีก 4 วัน คือวันที่ 21 22 24 25 ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมี 5 วัน คือวันที่ 21 22 23 24 25 มิถุนายน
แต่ไข่เมื่อสุกแล้วก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ผสมได้อีก 24 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 1วัน คือวันที่ 26 (สมมุติว่ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 26 ไข่สุกวันที่ 25 ก็ยังท้องได้) ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงเพิ่มมาอีก 1 วัน รวมเป็น 6 วันคือ 21 22 23 24 25 26
ยัง..ยังไม่หมดแค่นั้น เชื้ออสุจิเมื่อเข้ามาในตัวหญิงนั้น มีคุณสมบัติที่จะผสมกับไข่ได้อีก 48 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 2 วัน คือวันที่ 19 20 (ถ้ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 แล้วเกิดไข่สุกวันที่ 21 ก็ท้องได้ ) รวมแล้ววันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาเป็น 8 วัน คือวันที่ 19 20 21 22 23 24 25 26 จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วัน (รอบเดือนมาวันที่ 11 และ7 วันหลังคือ 11 12 13 14 15 16 17 ) คือวันที่19 ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว
แต่ถ้าเกิดระยะรอบเดือนคุณยาว เช่น 33วันมาครั้ง (ดูตามปฏิทิน รอบเดือนจะเลื่อนออกไปทุกเดือน) กรณีนี้สบายใจได้หน่อย
ยกตัวอย่างกรณีข้างต้น เป็นอีกคนที่มีระยะรอบเดือน 33 วัน รอบเดือนมาวันที่ 11 มิถุนายน คราวต่อไป(นับไปอีก 33 วัน) รอบเดือนก็จะมาวันที่ 14 กรกฏาคม ไข่คนนี้จะสุกวันที่30มิถุนายน (นับถอยหลังมา 14 วันจากวันที่ 14) วันไม่ปลอดภัย 8 วันนั้นคือ 26 27 28 29 30 มิถนายน 1 2 3 กรกฏาคม ดังนั้นถ้าคนนี้มีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 (เลย 7วันหลังมา 2วัน) ก็ยังอุ่นใจว่า ยังห่างจากวันไม่ปลอดภัยแยะ ก็ไม่น่าตั้งท้อง
จะเห็นได้ว่า คน สองคนมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วันเหมือนกัน แต่โอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าระยะรอบเดือนของคนนั้นสั้นหรือยาว
สรุป
1. ถ้ารอบเดือนคุณมาไม่ส่ำเสมอ ก็อาจมีเพศสัมพันธ์ช่วงมีรอบเดือนได้ค่อนข้างปลอดภัยถ้ามีรอบเดือนไม่เกิน 7วัน
2. ถ้าระยะรอบเดือนของคุณสั้น การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันหลังโดยเฉพาะวันท้ายๆก็หมิ่นเหม่ทีเดียว
3. การจะใช้วิธีนับวันปลอดภัย 7 หน้า 7 หลัง ควรเป็นคนที่มีรอบเดือนมาส่ำเสมอ
4. หลังจาก "7 วันหลัง" (นับจากวันแรกที่รอบเดือนมา) แล้ว ความปลอดภัยจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 วันอันตรายที่ไม่ปลอดภัยคือช่วงเสี่ยงสุดๆ พอพ้น 8วันอันตรายไปแล้ว ความปลอดภัยก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น จนถึง 7วันก่อนรอบเดือนคราวหน้าจะมาก็จะเป็นช่วงปลอดภัยหายห่วงอีกครั้ง
เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว มีวารสารการแพทย์ฉบับหนึ่ง
ได้รายงานการวิจัยหญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ 28 วัน
จำนวนประมาณ 200 คน พบว่า ความรู้เดิมๆที่เราเคยเชื่อกันว่า
มีไข่ตกในช่วง 8 วันอันตรายนั้นไม่จริงเสียแล้ว
ถ้าเปรียบการตกไข่เหมือนฝนตกแล้ว
ฝนจะตกชุกในช่วง 8 วันอันตราย ส่วนวันอื่นๆก็อาจมีฝนตกได้บ้างเปาะแปะ
รวมทั้ง 7 วันแรกที่มีรอบเดือน และ 7 วันก่อนมีรอบเดือนก็อาจมีไข่ตกได้ อย่างไรก็ตามผู้รายงานสรุปว่า จำนวนตัวอย่างที่ทำยังน้อย
คงต้องทำมากกว่านี้เพื่อหาคำอธิบายว่าทำไม่จึงเป็นอย่างนั้น
สำหรับผมจึงอยากเตือนว่า การใช้วิธีนับวันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก
ถ้ายังไม่แต่งงานแล้วมีเพศสัมพันธ์ละก็
ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพสัมพันธ์ดีที่สุดครับ
จุดประสงค์
บล๊อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนวิชา อินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน หวังว่าผู้ที่เข้ามาศึกษา จะได้ความรู้ความบันเทิงจาก บล๊อกของข้าพเจ้า ไม่มากก็น้อย
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
มารู้จักยาทากันยุงกันดีกว่า
ระยะนี้เป็นฤดูฝน คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคงจะกังวลเรื่องไข้เลือดออกที่มักจะระบาด กัน ในช่วงนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็รณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะ พันธุ์ยุงลาย ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ป้องกันไม่ให้มีน้ำขังในบ้าน น้ำที่รองขาตู้ กับข้าวก็ให้เอาน้ำส้มสายชู หรือเกลือผสมลงไป รวามทั้งหาฝาโอ่งน้ำ ถังน้ำ ตุ่ม น้ำในบ้าน เพื่อป้องกันยุงมาวางไข่ นอกจากนี้ยังอาจใช้ยาฆ่ายุง ยากันยุงรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งในท้องตลาดมีด้วยกันหลายยี่ห้อ ปัจจุบันยาทากันยุง เป็นวิธีป้องกัน ที่เริ่มใช้กันแพร่หลาย มีโฆษณาให้เห็นกันทั่วไป ราคาไม่แพง และใช้สะดวก มีทั้ง แบบน้ำและแป้งฝุ่น แต่เราควรรู้ว่าจะเลือกใช้ชนิดใด จึงจะดีและปลอดภัยที่สุด สำหรับครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา
ส่วนประกอบของยาทากันยุงมักจะเป็นสาร Diethyltoluamide, Dimethyl Phthalate ซึ่งกลิ่นไอของสารสามารถไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าใกล้เรา ชนิดน้ำอาจใช้ แอลกอฮอล์ผสม เนื่องจากสารดังกล่าวละลายในน้ำไม่ดี นอกจากนี้ยังอาจมีสารอื่น ๆ ช่วยในการแต่งสีหรือกลิ่น ทำให้ยาน่าใช้มากยิ่งขึ้น ยังสามารถนำมาใช้ทากันยุงบน ผิวหนัง เสื้อผ้า แต่ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะมีรายงานว่าอาจเกิดอันตราย ถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไปในเด็กเล็ก จึงควรใช้มุ้งหรือมุ้งลวดป้องกัน ยุงกัดจะดีกว่า หากจำเป็นให้ทายาเพียงเล็กน้อยที่บริเวณที่เสื้อผ้าของเด็กแทน ที่จะถูกผิวโดยตรง สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ไม่ควรทาใกล้ตา ผิวหนังที่เป็นแผลหรือ เนื้อเยื่ออ่อน หากเผลอรับประทานเข้าไปควรทำให้อาเจียนโดยใช้นิ้วล้วงคอ แล้วรีบ นำส่งโรงพยาบาล ทันที
นอกจากสารเคมีแล้วยังมีสมุนไพรหลายอย่างที่ช่วยไล่ยุงได้ เช่น ตะไคร้หอม ซึ่งมี สาร Citronella oil และไอของสาร Citrus oil จากการเผาเปลือกส้ม ซึ่งจะมีความ ปลอดภัยมากกว่า แต่เราก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน
ยุงนำโรคอันตรายถึงชีวิต หากคิดใช้ยากันยุงต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง แล้วเรา จะปลอดทั้งโรคและภัย มีความสุขทั้งครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา
ส่วนประกอบของยาทากันยุงมักจะเป็นสาร Diethyltoluamide, Dimethyl Phthalate ซึ่งกลิ่นไอของสารสามารถไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าใกล้เรา ชนิดน้ำอาจใช้ แอลกอฮอล์ผสม เนื่องจากสารดังกล่าวละลายในน้ำไม่ดี นอกจากนี้ยังอาจมีสารอื่น ๆ ช่วยในการแต่งสีหรือกลิ่น ทำให้ยาน่าใช้มากยิ่งขึ้น ยังสามารถนำมาใช้ทากันยุงบน ผิวหนัง เสื้อผ้า แต่ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะมีรายงานว่าอาจเกิดอันตราย ถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไปในเด็กเล็ก จึงควรใช้มุ้งหรือมุ้งลวดป้องกัน ยุงกัดจะดีกว่า หากจำเป็นให้ทายาเพียงเล็กน้อยที่บริเวณที่เสื้อผ้าของเด็กแทน ที่จะถูกผิวโดยตรง สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ไม่ควรทาใกล้ตา ผิวหนังที่เป็นแผลหรือ เนื้อเยื่ออ่อน หากเผลอรับประทานเข้าไปควรทำให้อาเจียนโดยใช้นิ้วล้วงคอ แล้วรีบ นำส่งโรงพยาบาล ทันที
นอกจากสารเคมีแล้วยังมีสมุนไพรหลายอย่างที่ช่วยไล่ยุงได้ เช่น ตะไคร้หอม ซึ่งมี สาร Citronella oil และไอของสาร Citrus oil จากการเผาเปลือกส้ม ซึ่งจะมีความ ปลอดภัยมากกว่า แต่เราก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน
ยุงนำโรคอันตรายถึงชีวิต หากคิดใช้ยากันยุงต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง แล้วเรา จะปลอดทั้งโรคและภัย มีความสุขทั้งครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา
สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อมีความเครียด
ร่างกายเราต้องการอาหารเหมือนกับรถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อใช้เป็นพลังงานในการ ขับเคลื่อน และน้ำมันเครื่องนั้นก็ต้องเหมาะสม เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ในความเร่งรีบของชีวิตประจำวันอาจ ทำให้หลายคนไม่ได้พิถีพิถันกับการเลือกอาหาร คิดแค่ว่ากินอะไรก็ได้เพื่อให้มี แรงทำงาน โดยไม่ใส่ใจว่าอาหารนั้นให้สารอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์หรือไม่ บางคน ดำรงชีวิตระหว่างชั่วโมงทำงานที่เคร่งเครียดด้วยกาแฟนับสิบถ้วย ขนมหรือของว่าง ตามแต่จะหาได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันจึงจบด้วยอาหารมื้อใหญ่ หลังจาก นั้นไม่นานก็ต้องรีบเข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เร่งรีบในวันต่อไป แต่ บางครั้งความเครียดที่สะสมมาทั้งวันหรืออาหารมื้อใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป กลับส่งผล ให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ ซ้ำยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น หากดำรงชีวิตเช่นนี้ไป เรื่อยๆ สุขภาพคงค่อยๆ เสื่อมถอยลดลง
เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทาง ปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมี ความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้ เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเครียด
สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบ คุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล
จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหาร ทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดู ตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง
ตัวอย่างเมนูคลายเครียด
อาหารเช้า :น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/ น้ำผลไม้
อาหารกลางวัน :ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้ หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผล ไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต ชนิดพร่องไขมัน
อาหารเย็น :ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด
อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทาง ตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมี ประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิด ต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างของอาหารเหล่านี้ เช่น แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็น ต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่ เหมาะสม เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการ สูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)
เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทาง ปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมี ความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้ เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเครียด
สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบ คุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล
จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหาร ทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดู ตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง
ตัวอย่างเมนูคลายเครียด
อาหารเช้า :น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/ น้ำผลไม้
อาหารกลางวัน :ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้ หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผล ไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต ชนิดพร่องไขมัน
อาหารเย็น :ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด
อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทาง ตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมี ประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิด ต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างของอาหารเหล่านี้ เช่น แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็น ต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่ เหมาะสม เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการ สูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)
นอนแบบไหนหลับสบาย
การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อย ล้า....
ซึ่งนพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวเอาไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อ การนอนถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่มีในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึง เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วย ความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็ หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบ ว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบาง ท่านอาจชอบนอนคว่ำ แล้วท่าไหนละ! ที่นอนแล้วสบายที่สุด
นอนหงาน,ท่านอนหงาย,คูมือสุขภาพ ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่า นอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกัน กับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของ หัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้ อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่า นอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
นอนตะแคงขวา,ท่านอนตะแคงขวา,คูมือสุขภาพ
ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจ เต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวด หลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นอนตะแคงซ้าย,ท่านอนตะแคงซ้าย,คูมือสุขภาพ ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วย ลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณ ลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะ อาหาร
ท่านอนตะแคง หากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสอง ข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหา หมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนว ระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับ กระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว
นอนคว่ำ,ท่านอนคว่ำ,คูมือสุขภาพ ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวด ต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น คอ โดยท่านอนคว่ำนี้ถือว่าเป็นท่านอนที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูก สันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคง หน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่าง หมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน
หมอนหนุนคอ,หมอนหนุน,หมอนที่ใช้หนุนคอ,คู่มือสุขภาพ หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามี ส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็ง ได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดยทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอ ยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่ แหงนมากเกินไป มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดย ไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบ ใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุน หมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่ รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคา ถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอ ให้กับคุณได้ดีทีเดียว ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กัน อยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่สำหรับ ที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้ กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ, หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้อง ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอน ที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การ รักษาที่ถูกต้องต่อไปนะค่ะ
ซึ่งนพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวเอาไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อ การนอนถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่มีในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึง เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วย ความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็ หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบ ว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบาง ท่านอาจชอบนอนคว่ำ แล้วท่าไหนละ! ที่นอนแล้วสบายที่สุด
นอนหงาน,ท่านอนหงาย,คูมือสุขภาพ ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่า นอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกัน กับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของ หัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้ อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่า นอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
นอนตะแคงขวา,ท่านอนตะแคงขวา,คูมือสุขภาพ
ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจ เต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวด หลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นอนตะแคงซ้าย,ท่านอนตะแคงซ้าย,คูมือสุขภาพ ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วย ลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณ ลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะ อาหาร
ท่านอนตะแคง หากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสอง ข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหา หมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนว ระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับ กระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว
นอนคว่ำ,ท่านอนคว่ำ,คูมือสุขภาพ ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวด ต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น คอ โดยท่านอนคว่ำนี้ถือว่าเป็นท่านอนที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูก สันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคง หน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่าง หมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน
หมอนหนุนคอ,หมอนหนุน,หมอนที่ใช้หนุนคอ,คู่มือสุขภาพ หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามี ส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็ง ได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดยทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอ ยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่ แหงนมากเกินไป มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดย ไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบ ใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุน หมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่ รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคา ถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอ ให้กับคุณได้ดีทีเดียว ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กัน อยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่สำหรับ ที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้ กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ, หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้อง ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอน ที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การ รักษาที่ถูกต้องต่อไปนะค่ะ
ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด
ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอดคงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมาก
-น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง
- รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี
-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม
- รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน
- รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น
- ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ตามสรรพคุณยาที่กล่าวมา ยังเป็นไม้ที่มีความเชื่อตามวัฒนธรรมประเพณีไทย ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยากระทั่งจนถึงปัจจุบัน คือ เป็นไม้มงคล ซึ่งตามตำราปลูกต้นไม้ตามอักษรนาม ประจำทิศว่าไว้..
“ทิศที่ควรปลูกต้นไม้มงคล ทิศบูรพา ให้ปลูกไผ่ กุ่ม และมะพร้าว ทิศอาคเนย์ ให้ปลูกต้นยอและสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกมะม่วง กับ มะพลับ ทิศหรดี ให้ปลูกชัยพฤกษ์ สะเดา ขนุน และพิกุล ทิศประจิม ปลูกต้นมะขาม จะช่วยป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกรายอีกทั้งต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม ยำเกรง”
-น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง
- รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี
-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม
- รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน
- รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น
- ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ตามสรรพคุณยาที่กล่าวมา ยังเป็นไม้ที่มีความเชื่อตามวัฒนธรรมประเพณีไทย ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยากระทั่งจนถึงปัจจุบัน คือ เป็นไม้มงคล ซึ่งตามตำราปลูกต้นไม้ตามอักษรนาม ประจำทิศว่าไว้..
“ทิศที่ควรปลูกต้นไม้มงคล ทิศบูรพา ให้ปลูกไผ่ กุ่ม และมะพร้าว ทิศอาคเนย์ ให้ปลูกต้นยอและสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกมะม่วง กับ มะพลับ ทิศหรดี ให้ปลูกชัยพฤกษ์ สะเดา ขนุน และพิกุล ทิศประจิม ปลูกต้นมะขาม จะช่วยป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกรายอีกทั้งต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม ยำเกรง”
ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค
ผู้หญิงสมัยนี้อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่อง
อาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มี
น้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่
ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้
กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่ว
เหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่
ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ
จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะ
ปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่ง
ที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ
รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยาก
เรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การ
ให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียน
เรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มี
ความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึง
เป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงาน
นานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้
เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแล
และฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
อาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มี
น้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่
ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้
กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่ว
เหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่
ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ
จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะ
ปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่ง
ที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ
รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยาก
เรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การ
ให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียน
เรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มี
ความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึง
เป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงาน
นานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้
เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแล
และฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว
วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี
สูตรแก้แฮงค์นำมาฝากสำหรับนักดื่ม
วันนี้เรานำสูตรแก้แฮงค์มาฝากสำหรับนักดื่มทุกท่าน ว่าทำอย่างไรถึงจะหายมึนแล้วกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าจะให้ดีอย่าดืมกันจนแฮงค์เลยน่ะค่ะ เอาพอหอมปากหอมคอพอ
1. ก่อนดื่มเหล้า ประมาณ 1 ชั่วโมง กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควร ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน
* *2. ระหว่างดื่มเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะ โซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างกินเหล้าควรกินถั่วหรือของว่างประเภท โปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย
* *3. หลังดื่มเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกิน ของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว คั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่นอนครับ
* *4. ควรจะหาวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้ ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะภาย หลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ วิตามิน บี 6 ช่วยลด อาการเมาค้างลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจาก เมาค้าง นอกจากนั้นเมื่อตอนกินเหล้า ก็ควรจะกินของหวานเป็นกับแกล้มไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่าง กายที่สูญเสียไป
* *5. รางจืด...แก้เมาได้ชะงัดนักแล สรรพคุณรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดรสเย็นใช้ปรุง เป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษสำแดง และพิษอื่นๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ สำหรับในหมู่นักเลงเหล้ารุ่นเก๋ากึ๊ก ย่อมรู้ดีว่ารางจืดช่วยถอนพิษสุราด้วย จากประสบการณ์ผู้ใช้ สิ่งที่ยอมรับคือ หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอา การแฮงก์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดถอนได้แน่ หรือตามประสบการณ์ในวงเหล้า หากเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ ใต้ลิ้น ดื่มเหล้ามากแต่จะเมาน้อย สรรพคุณที่ฮิตที่สุดของรางจืดในปัจจุบันเห็นทีจะไม่พ้นการแก้อาการเมาค้าง หรือดื่มหนัก วิธีใช้ว่ากันตามแบบฉบับคลาสสิก ใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำ ผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าวยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้ คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีนนั่นแหละ ส่วนความเข้มของยาแล้วแต่จะ ชงอ่อนชงแก่ ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดมาทำการค้าหลายราย สามารถเลือกใช้ตามดุลพินิจ
เรียบเรียงโดย นางแอ่นน้อย อ้างอิงจาก นิตยสารใกล้หมอ
1. ก่อนดื่มเหล้า ประมาณ 1 ชั่วโมง กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควร ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน
* *2. ระหว่างดื่มเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะ โซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างกินเหล้าควรกินถั่วหรือของว่างประเภท โปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย
* *3. หลังดื่มเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกิน ของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว คั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่นอนครับ
* *4. ควรจะหาวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้ ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะภาย หลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ วิตามิน บี 6 ช่วยลด อาการเมาค้างลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจาก เมาค้าง นอกจากนั้นเมื่อตอนกินเหล้า ก็ควรจะกินของหวานเป็นกับแกล้มไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่าง กายที่สูญเสียไป
* *5. รางจืด...แก้เมาได้ชะงัดนักแล สรรพคุณรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดรสเย็นใช้ปรุง เป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษสำแดง และพิษอื่นๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ สำหรับในหมู่นักเลงเหล้ารุ่นเก๋ากึ๊ก ย่อมรู้ดีว่ารางจืดช่วยถอนพิษสุราด้วย จากประสบการณ์ผู้ใช้ สิ่งที่ยอมรับคือ หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอา การแฮงก์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดถอนได้แน่ หรือตามประสบการณ์ในวงเหล้า หากเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ ใต้ลิ้น ดื่มเหล้ามากแต่จะเมาน้อย สรรพคุณที่ฮิตที่สุดของรางจืดในปัจจุบันเห็นทีจะไม่พ้นการแก้อาการเมาค้าง หรือดื่มหนัก วิธีใช้ว่ากันตามแบบฉบับคลาสสิก ใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำ ผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าวยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้ คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีนนั่นแหละ ส่วนความเข้มของยาแล้วแต่จะ ชงอ่อนชงแก่ ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดมาทำการค้าหลายราย สามารถเลือกใช้ตามดุลพินิจ
เรียบเรียงโดย นางแอ่นน้อย อ้างอิงจาก นิตยสารใกล้หมอ
จุดซ่อนเร้น เรื่องลึ้ก! ลึก …แต่ไม่ลับ
เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว ร่างกายของผู้หญิงและผู้ชาย จะสร้างกลิ่นของร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามด้วย
*สำหรับลูกผู้หญิงบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือที่เรียกว่าช่องคลอดนั้นเป็นอวัยวะที่สามารถทำความสะอาดตัวของมันเองได้ตามระบบธรรมชาติได้ส่วนหนึ่ง แต่บางครั้งมักมีกลิ่นมาให้รำคาญใจ…*.เลยทำให้ผู้หญิงหลายต่อหลายคนเกิดความสงสัย และกังวลจนเสียความมั่นใจกับจุดนี้อีกเยอะ
….เช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่านี้….คุณเคยเจอหรือเปล่า
รู้สึกว่า พื้นที่จุดซ่อนเร้นมักมีกลิ่นอับๆ สังเกตได้ชัดเจนมากเวลาที่เข้าห้องน้ำสิ่งนี้เกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไรดี
กลิ่นอับของบริเวณจุดซ่อนเร้นนี้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เรื่องของรูปร่างค่อนข้างท้วม เหงื่อจะออกง่าย ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเหงื่อออกแล้ว ก็จะเกิดกลิ่นอับที่ต้นขาและตามจุดอับชื้นต่างๆ ของร่างกาย ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีการแก้ไขคือ จำไว้ว่าถ้าอยากให้บริเวณไหนของร่างกายมีกลิ่นสะอาด ก็ต้องทำให้ผิวช่วงนั้นมีความแห้ง โปร่ง สบายให้มากที่สุด เช่น การเลือกชุดชั้นในควรเลือกเป็นผ้าฝ้ายบางๆ ก็จะดีกว่าผ้าหนาๆ หรือเลือกสวมกางเกงที่ไม่รัดต้นขาก็จะดีกว่า กางเกงในแบบจีสตริงก็เป็นทางช่วยวิธีหนึ่ง แต่การโรยแป้งอาจไม่แก้ปัญหา กลับทำให้อับมากขึ้น ถ้าอยากใช้น้ำยาอนามัยเพื่อจุดซ่อนเร้นทำความสะอาดก็ทำได้ แต่อย่าล้างเข้าไปถึงข้างใน
*จริงหรือเปล่าผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนมักจะมีกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น *
ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มานั้น จุดซ่อนเร้นอาจจะมีกลิ่นได้ง่ายกว่าคนโสดหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น ผู้ชายที่ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ไม่ได้รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศของเขาอย่างดีพอเมื่อมีเซ็กซ์กัน มีการสัมผัสกับอวัยวะเพศหญิงกับสิ่งสกปรกที่หมักหมมใต้หนังหุ้มปลายองคชาติของผู้ชาย ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น และอีกอย่างหนึ่ง ภายในจุดซ้อนเร้นของผู้หญิงนั้น จะมีลักษณะเป็นกระเปราะ ทำให้อาจมีน้ำอสุจิค้างอยู่หลังการมีเพศสัมพันธ์ก็เกิดโอกาสมีกลิ่นได้
*ทำไมช่วงเวลามีรอบเดือน มักต้องมีตุ่มหรือผื่นแดงขึ้นที่ส่วนนั้นด้วย ไม่ทราบว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่าและคนอื่นๆ เขาจะเป็นเหมือนเราไหม *
เวลามีรอบเดือน ฮอร์โมนมันเพี้ยน พอฮอร์โมนเพี้ยนไปจากปกติ จะเกิดการระคายเคืองง่าย มีตุ่มและผื่นแดงเกิดขึ้น หากรู้สึกว่าเป็นมากก็ควรไปพบแพทย์ ให้เขาใช้ครีมสเตียรอยด์อ่อนๆ ทา ผิดปกติไหม ไม่ผิดหรอก เพราะหลายๆ คนก็มักมีอาการแบบนี้คือผิวอ่อนไหวกว่าเดิม
*การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้ผิวที่เป็นรอยแดงช่วงขาหนีบนุ่มขึ้นรอยแดงหายไปด้วยหรือเปล่า *
จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกัน เพราะรอยผื่นและรอยแดงมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น แพ้ขอบยางกางเกงในหรือใช้แผ่นอนามัยที่ไม่ค่อยได้คุณภาพ อีกพวกหนึ่งคือบริเวณขาหนีบชิ้นหรือต้นขาใหญ่ ก็เกิดผื่นได้ถ้าเป็นผื่นมากก็ควรไปหาหมอเพื่อจะได้รักษาให้ถูกวิธี เช่น อาจให้ครีมที่เป็นสเตียรอยด์อ่อนๆ มาทา รอยแตกจากการใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
*ช่วงเวลาที่มีรอบเดือนจะรู้สึกว่าแพ้ผ้าอนามัยโดยมีอาการคันและเป็นผื่นแดงๆ ที่ข้างๆ ขาทุกครั้ง จะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง *
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เปลี่ยนยี่ห้อผ้าอนามัย เพราะถ้าเกิดใช้ยี่ห้อนี้แล้วแพ้ ยี่ห้ออื่นอาจจะไม่แพ้ก็ได้หรือไม่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ก็อาจใช้วิธีคุมกำเนิดโดยการฉีดยาคุมก็ได้ เมื่อไม่มีประจำเดือน ก็จะไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยและจะได้ไม่แพ้
*มีหลายคนบอกว่าการใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นจะทำร้ายแบคทีเรียที่ดี และเราจะติดเชื้อง่ายขึ้น *
แค่ไม่ฉีดเข้าไปภายในช่องคลอดก็พอแล้ว แต่ถ้าเป็นการทำความสะอาดเฉพาะผิวภายนอกดีที่สุดคือใช้น้ำสะอาด ล้างหลายๆ ครั้งก็สะอาดขึ้น หรือถ้ามีพวกไขมันมาเกาะก็ใช้น้ำอุ่นล้าง แต่ห้ามล้างเข้าไปข้างในเด็ดขาด หากอยากให้ร่างกายมีแบคทีเรียที่ดีก็พยายามดื่มพวกโยเกิร์ตหรืออะไรที่มีส่วนผสมของแลคโตบาซิลลัส ก็จะทำให้ร่างกายเรามีแบคทีเรียที่ดีไว้ป้องกันเชื้อโรค
*เด็กเล็กๆ วัยอนุบาลหรือวัยประถม จะใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้หรือเปล่า *
ไม่ควรใช้น้ำยาเหล่านี้กับเด็กๆ เด็ดขาดจนกว่าจะอายุ 15 ปีขึ้นไป เพราะสำหรับเด็กเล็กๆ นั้นใช้การทำความสะอาดแบบธรรมดาๆ ก็พอเพียงแล้ว
*สบู่ โฟม หรือน้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เลือกใช้อย่างไรให้ถูกสุขลักษณะที่สุด
* ไม่ว่าจะใช้อะไรก็ตาม ก็แล้วแต่รสนิยม ความชอบของแต่ละคนผลที่ได้คงไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ น้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดต่างหาก ที่ต้องแน่ใจว่าเราใช้น้ำสะอาดจริงๆ ท่านั้น
*เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้น *
การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนี้ ควรเลือกด้วยความระมัดระวัง เพราะเนื้อเยื่อของผิวส่วนนี้จะมีธรรมชาติที่บอบบางและละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการส่วนล้างช่องคลอดเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือที่หนักกว่านั้นก็คือ การติดเชื้อของท่อรังไข่ ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งนอกมดลูกหรือเป็นหมันได้ในอนาคต
ของเหลวที่เรียกว่าตกขาว ซึ่งมีลักษณะเป็นมูกออกมาจากช่องคลอดนั้น คือสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาเพื่อช่วยในการทำความสะอาดช่องคลอด หากร่างกายปกติ ตกขาวนี้จะไม่มีกลิ่นคาวช่วงหลังรอบเดือนจะมีลักษระสีขาวข้นเหมือนขี้ผึ้งแต่จะใสและยืดเหนียว มีลักษณะเหมือนไข่ขาวดิบๆ ในช่วงระยะการตกไข่ นอกจากนั้น ตกขาวยังเป็นสิ่งบอกคุณภาพของจุดซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดีหากตกขาวมีกลิ่นคาวหรือเหม็น มีสีเหลืองหรือเขียวรวมทั้งมีอาการคันและแสบร่วมด้วย แสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นในช่องคลอด
*สำหรับลูกผู้หญิงบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือที่เรียกว่าช่องคลอดนั้นเป็นอวัยวะที่สามารถทำความสะอาดตัวของมันเองได้ตามระบบธรรมชาติได้ส่วนหนึ่ง แต่บางครั้งมักมีกลิ่นมาให้รำคาญใจ…*.เลยทำให้ผู้หญิงหลายต่อหลายคนเกิดความสงสัย และกังวลจนเสียความมั่นใจกับจุดนี้อีกเยอะ
….เช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่านี้….คุณเคยเจอหรือเปล่า
รู้สึกว่า พื้นที่จุดซ่อนเร้นมักมีกลิ่นอับๆ สังเกตได้ชัดเจนมากเวลาที่เข้าห้องน้ำสิ่งนี้เกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไรดี
กลิ่นอับของบริเวณจุดซ่อนเร้นนี้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เรื่องของรูปร่างค่อนข้างท้วม เหงื่อจะออกง่าย ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเหงื่อออกแล้ว ก็จะเกิดกลิ่นอับที่ต้นขาและตามจุดอับชื้นต่างๆ ของร่างกาย ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีการแก้ไขคือ จำไว้ว่าถ้าอยากให้บริเวณไหนของร่างกายมีกลิ่นสะอาด ก็ต้องทำให้ผิวช่วงนั้นมีความแห้ง โปร่ง สบายให้มากที่สุด เช่น การเลือกชุดชั้นในควรเลือกเป็นผ้าฝ้ายบางๆ ก็จะดีกว่าผ้าหนาๆ หรือเลือกสวมกางเกงที่ไม่รัดต้นขาก็จะดีกว่า กางเกงในแบบจีสตริงก็เป็นทางช่วยวิธีหนึ่ง แต่การโรยแป้งอาจไม่แก้ปัญหา กลับทำให้อับมากขึ้น ถ้าอยากใช้น้ำยาอนามัยเพื่อจุดซ่อนเร้นทำความสะอาดก็ทำได้ แต่อย่าล้างเข้าไปถึงข้างใน
*จริงหรือเปล่าผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนมักจะมีกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น *
ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มานั้น จุดซ่อนเร้นอาจจะมีกลิ่นได้ง่ายกว่าคนโสดหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น ผู้ชายที่ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ไม่ได้รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศของเขาอย่างดีพอเมื่อมีเซ็กซ์กัน มีการสัมผัสกับอวัยวะเพศหญิงกับสิ่งสกปรกที่หมักหมมใต้หนังหุ้มปลายองคชาติของผู้ชาย ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น และอีกอย่างหนึ่ง ภายในจุดซ้อนเร้นของผู้หญิงนั้น จะมีลักษณะเป็นกระเปราะ ทำให้อาจมีน้ำอสุจิค้างอยู่หลังการมีเพศสัมพันธ์ก็เกิดโอกาสมีกลิ่นได้
*ทำไมช่วงเวลามีรอบเดือน มักต้องมีตุ่มหรือผื่นแดงขึ้นที่ส่วนนั้นด้วย ไม่ทราบว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่าและคนอื่นๆ เขาจะเป็นเหมือนเราไหม *
เวลามีรอบเดือน ฮอร์โมนมันเพี้ยน พอฮอร์โมนเพี้ยนไปจากปกติ จะเกิดการระคายเคืองง่าย มีตุ่มและผื่นแดงเกิดขึ้น หากรู้สึกว่าเป็นมากก็ควรไปพบแพทย์ ให้เขาใช้ครีมสเตียรอยด์อ่อนๆ ทา ผิดปกติไหม ไม่ผิดหรอก เพราะหลายๆ คนก็มักมีอาการแบบนี้คือผิวอ่อนไหวกว่าเดิม
*การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้ผิวที่เป็นรอยแดงช่วงขาหนีบนุ่มขึ้นรอยแดงหายไปด้วยหรือเปล่า *
จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกัน เพราะรอยผื่นและรอยแดงมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น แพ้ขอบยางกางเกงในหรือใช้แผ่นอนามัยที่ไม่ค่อยได้คุณภาพ อีกพวกหนึ่งคือบริเวณขาหนีบชิ้นหรือต้นขาใหญ่ ก็เกิดผื่นได้ถ้าเป็นผื่นมากก็ควรไปหาหมอเพื่อจะได้รักษาให้ถูกวิธี เช่น อาจให้ครีมที่เป็นสเตียรอยด์อ่อนๆ มาทา รอยแตกจากการใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
*ช่วงเวลาที่มีรอบเดือนจะรู้สึกว่าแพ้ผ้าอนามัยโดยมีอาการคันและเป็นผื่นแดงๆ ที่ข้างๆ ขาทุกครั้ง จะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง *
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เปลี่ยนยี่ห้อผ้าอนามัย เพราะถ้าเกิดใช้ยี่ห้อนี้แล้วแพ้ ยี่ห้ออื่นอาจจะไม่แพ้ก็ได้หรือไม่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ก็อาจใช้วิธีคุมกำเนิดโดยการฉีดยาคุมก็ได้ เมื่อไม่มีประจำเดือน ก็จะไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยและจะได้ไม่แพ้
*มีหลายคนบอกว่าการใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นจะทำร้ายแบคทีเรียที่ดี และเราจะติดเชื้อง่ายขึ้น *
แค่ไม่ฉีดเข้าไปภายในช่องคลอดก็พอแล้ว แต่ถ้าเป็นการทำความสะอาดเฉพาะผิวภายนอกดีที่สุดคือใช้น้ำสะอาด ล้างหลายๆ ครั้งก็สะอาดขึ้น หรือถ้ามีพวกไขมันมาเกาะก็ใช้น้ำอุ่นล้าง แต่ห้ามล้างเข้าไปข้างในเด็ดขาด หากอยากให้ร่างกายมีแบคทีเรียที่ดีก็พยายามดื่มพวกโยเกิร์ตหรืออะไรที่มีส่วนผสมของแลคโตบาซิลลัส ก็จะทำให้ร่างกายเรามีแบคทีเรียที่ดีไว้ป้องกันเชื้อโรค
*เด็กเล็กๆ วัยอนุบาลหรือวัยประถม จะใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้หรือเปล่า *
ไม่ควรใช้น้ำยาเหล่านี้กับเด็กๆ เด็ดขาดจนกว่าจะอายุ 15 ปีขึ้นไป เพราะสำหรับเด็กเล็กๆ นั้นใช้การทำความสะอาดแบบธรรมดาๆ ก็พอเพียงแล้ว
*สบู่ โฟม หรือน้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เลือกใช้อย่างไรให้ถูกสุขลักษณะที่สุด
* ไม่ว่าจะใช้อะไรก็ตาม ก็แล้วแต่รสนิยม ความชอบของแต่ละคนผลที่ได้คงไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ น้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดต่างหาก ที่ต้องแน่ใจว่าเราใช้น้ำสะอาดจริงๆ ท่านั้น
*เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้น *
การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนี้ ควรเลือกด้วยความระมัดระวัง เพราะเนื้อเยื่อของผิวส่วนนี้จะมีธรรมชาติที่บอบบางและละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการส่วนล้างช่องคลอดเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือที่หนักกว่านั้นก็คือ การติดเชื้อของท่อรังไข่ ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งนอกมดลูกหรือเป็นหมันได้ในอนาคต
ของเหลวที่เรียกว่าตกขาว ซึ่งมีลักษณะเป็นมูกออกมาจากช่องคลอดนั้น คือสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาเพื่อช่วยในการทำความสะอาดช่องคลอด หากร่างกายปกติ ตกขาวนี้จะไม่มีกลิ่นคาวช่วงหลังรอบเดือนจะมีลักษระสีขาวข้นเหมือนขี้ผึ้งแต่จะใสและยืดเหนียว มีลักษณะเหมือนไข่ขาวดิบๆ ในช่วงระยะการตกไข่ นอกจากนั้น ตกขาวยังเป็นสิ่งบอกคุณภาพของจุดซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดีหากตกขาวมีกลิ่นคาวหรือเหม็น มีสีเหลืองหรือเขียวรวมทั้งมีอาการคันและแสบร่วมด้วย แสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นในช่องคลอด
อาหารง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังทางเพศ
บทกวีของ Eunuchus ให้ข้อแนะนำที่ดีเป็นนัยให้คนเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่ดี ซึ่งหมายถึงการมีโภชนาการที่ดีนั่นเอง และเมื่อร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะเป็นสูตรเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดีที่สุด เพราะถ้าคนเรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่างกายก็มีความฟิตทุกส่วนนั่นเอง
แครอทและแอปริคอท แครอทเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อติดกลุ่มอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในชาวตะวันออก ราชวงศ์กษัตริย์นิยมเสิร์ฟแครอทในงานเลี้ยงแนะนำหนุ่มสาวในการเลือกคู่ เนื่องจากแครอทมีสารเบต้าแคโรทีนสูง เชื่อกันว่า เบต้าแคโรทีนช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและระดับฮอร์โมนเพศโปรเจสเตอโรน ส่วนในประเทศจีนความเชื่อที่ปฏิบัติกันในกลุ่มเจ้าสาวจีน คือ ต้องรับประทานผลแอปริคอทเพื่อเพิ่มโอกาสปฏิสนธิ พูดง่ายๆ คือ จะได้ตั้งครรภ์เร็วขึ้น แอปริคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดถูกใช้ในการสร้างฮอร์โมน
กล้วยหอม กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่เชื่อว่าเพิ่มความสามารถการมีเซ็กซ์ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะนอกจากกล้วยจะมี โปตัสเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทแล้ว ยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อข่าวในสมองอีกด้วย
มะเดื่อ มะเดื่อเป็นผลไม้ยอดนิยมที่เชื่อว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของชาวกรีกในสมัยโบราณ มะเดื่อมีวิตามินบีชนิดไนอะซินสูง วิตามินชนิดนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในทุกส่วนของร่างกาย และนอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน
หน่อไม้ฝรั่ง ประเพณีเก่าแก่ของชาวอังกฤษ เชื่อว่า การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งต้มทุกเช้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ดีทั้งอาจจะเป็นเพราะหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เป็นแหล่งของไนอะซิน
ปลาและหอย ปลาและหอย เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศอีกชนิดหนึ่งในวัฒนธรรมการกินอาหารของหลายๆ ประเทศ ถึงกับว่าเมื่อมีการรณรงค์ให้รับประทานอาหารทะเล สถาบันหอยนางรมของสหรัฐอเมริกาเหนือถึงกับใช้สโลแกนว่า กินหอยนางรม สร้างชีวิตรักให้ยืนยาว การเอ่ยอ้างเช่นนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า หอยนางรมมีแร่ธาตุสังกะสีสูง และสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ตามทฤษฎีจะช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้ สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะทำให้เกิดปัญหาทางเพศได้เช่นกัน
กรดโอเมก้า 3 ในอาหารทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเซ็กซ์ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันปลาแคปซูลจะให้ผลเหมือนอาหารธรรมชาติ ฉะนั้นคุณผู้ชายไม่ต้องวิ่งไปซื้อน้ำมันปลามารับประทานให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ
ดังนั้น หลักของโภชนาการที่ดีร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอนั่นเอง ถ้าปฏิบัติตัวได้ตามนี้แล้วคงไม่ต้องเสียเงินซื้อยาโด๊ปต่างๆ ให้สิ้นเปลือง
แครอทและแอปริคอท แครอทเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อติดกลุ่มอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในชาวตะวันออก ราชวงศ์กษัตริย์นิยมเสิร์ฟแครอทในงานเลี้ยงแนะนำหนุ่มสาวในการเลือกคู่ เนื่องจากแครอทมีสารเบต้าแคโรทีนสูง เชื่อกันว่า เบต้าแคโรทีนช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและระดับฮอร์โมนเพศโปรเจสเตอโรน ส่วนในประเทศจีนความเชื่อที่ปฏิบัติกันในกลุ่มเจ้าสาวจีน คือ ต้องรับประทานผลแอปริคอทเพื่อเพิ่มโอกาสปฏิสนธิ พูดง่ายๆ คือ จะได้ตั้งครรภ์เร็วขึ้น แอปริคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดถูกใช้ในการสร้างฮอร์โมน
กล้วยหอม กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่เชื่อว่าเพิ่มความสามารถการมีเซ็กซ์ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะนอกจากกล้วยจะมี โปตัสเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทแล้ว ยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อข่าวในสมองอีกด้วย
มะเดื่อ มะเดื่อเป็นผลไม้ยอดนิยมที่เชื่อว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของชาวกรีกในสมัยโบราณ มะเดื่อมีวิตามินบีชนิดไนอะซินสูง วิตามินชนิดนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในทุกส่วนของร่างกาย และนอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน
หน่อไม้ฝรั่ง ประเพณีเก่าแก่ของชาวอังกฤษ เชื่อว่า การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งต้มทุกเช้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ดีทั้งอาจจะเป็นเพราะหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เป็นแหล่งของไนอะซิน
ปลาและหอย ปลาและหอย เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศอีกชนิดหนึ่งในวัฒนธรรมการกินอาหารของหลายๆ ประเทศ ถึงกับว่าเมื่อมีการรณรงค์ให้รับประทานอาหารทะเล สถาบันหอยนางรมของสหรัฐอเมริกาเหนือถึงกับใช้สโลแกนว่า กินหอยนางรม สร้างชีวิตรักให้ยืนยาว การเอ่ยอ้างเช่นนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า หอยนางรมมีแร่ธาตุสังกะสีสูง และสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ตามทฤษฎีจะช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้ สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะทำให้เกิดปัญหาทางเพศได้เช่นกัน
กรดโอเมก้า 3 ในอาหารทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเซ็กซ์ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันปลาแคปซูลจะให้ผลเหมือนอาหารธรรมชาติ ฉะนั้นคุณผู้ชายไม่ต้องวิ่งไปซื้อน้ำมันปลามารับประทานให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ
ดังนั้น หลักของโภชนาการที่ดีร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอนั่นเอง ถ้าปฏิบัติตัวได้ตามนี้แล้วคงไม่ต้องเสียเงินซื้อยาโด๊ปต่างๆ ให้สิ้นเปลือง
10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง
วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูงมาฝากกัน...
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยา ศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการ ทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว
คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูล อิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยง การเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุก วัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยา ศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการ ทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว
คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูล อิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยง การเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุก วัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี
29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์
คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ... สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young
เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย
1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู
2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก
3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว
4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอล นัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ
5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค
6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้
7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย
8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว Stay feeling young
10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัส จากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน
12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ
13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง
14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า
15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย
16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำ วิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย
17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้
18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา
แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!
จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ
19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี
20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)
21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม
22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ
23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือน ถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา
24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว
25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง
26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ
27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง
29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว
เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย
1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู
2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก
3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว
4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอล นัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ
5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค
6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้
7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย
8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว Stay feeling young
10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัส จากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน
12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ
13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง
14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า
15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย
16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำ วิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย
17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้
18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา
แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!
จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ
19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี
20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)
21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม
22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ
23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือน ถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา
24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว
25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง
26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ
27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง
29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)