จุดประสงค์

บล๊อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนวิชา อินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน หวังว่าผู้ที่เข้ามาศึกษา จะได้ความรู้ความบันเทิงจาก บล๊อกของข้าพเจ้า ไม่มากก็น้อย

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีนับระยะปลอดภัยหน้า 7 หลัง 7 ที่ถูกต้อง

หน้า 7 หลัง 7 เจ็บกันเยอะแล้ว!!


ผมไม่รู้ใครเป็นคนบัญญัติสูตรนี้ขึ้นมา มันสร้างความเจ็บปวดมาแยะแล้ว สักแต่ได้ยินมาแล้วก็เอามาใช้ ใช้โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร บางคนก็ว่าหลังจากรอบเดือนหมดแล้วก็นับหนึ่ง

" ก็..บอกว่า "หลัง" หลังก็ต้องหมดแล้วซิ "

ใช่เลยครับ.....ก็..เรียบร้อยยยย... ท้องซิครับ

ความหมายที่แท้จริง
7 หน้าหมายความว่า 7 วันก่อนรอบเดือนจะมา
7 วัน หลังหมายความว่า 7 วันนับจากวันแรกที่รอบเดือนมา


สมมุติว่ารอบเดือนมาวันที่ 10 11 12 13

7วันหน้า หรือ7วันก่อน คือวันที่ 3 4 5 6 7 8 9

7 วันหลัง คือวันที่ 10 11 12 13 14 15 16

กรณี 7 วันหลัง

ถ้าไม่มีการร่วมเพศในวันที่มีรอบเดือน ก็แปลว่าจะมีวันที่มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยแค่ไม่กี่วัน ถ้ามีรอบเดือน 3 วัน ก็มีวันปลอดภัยเหลือ 4วัน ถ้ารอบเดือนมา 5 วันก็จะมีวันปลอดภัยเหลือ 2 วัน ตรงไปตรงมา (ถ้าคุณจะฝ่าไฟแดงก็สามารถทำได้ แต่ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่มีอันตรายอะไร)

กรณี7วันหน้า หรือ7วันก่อน

ก็แปลว่าคุณต้องรู้ว่าจะมีรอบเดือนคราวต่อไปเมื่อไหร่ คุณจึงสามารถกะได้ว่า 7 วันนั้นคือวันที่เท่าไหร่ สมมุติว่าคุณสามารถกะได้ว่ารอบเดือนคุณจะมาเดือนหน้าวันที่ 13 คุณก็รู้ได้ว่าวันปลอดภัยคือวันที่ 6 7 8 9 10 11 12 ดังนั้นพอถึงวันที่ 6 คุณก็รู้ว่าถึงวันปลอดภัยแล้ว มีเพศสัมพันธ์กันได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะตั้งครรค์

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเดือนหน้ารอบเดือนจะมาเมื่อไหร่

การนับวันปลอดภัยนี้ใช้ได้เฉพาะคนที่มีรอบเดือนมา "สม่ำเสมอ" เท่านั้น เช่น

คนหนึ่งมีระยะรอบเดือน28วัน ก็แปลว่าทุกๆ 28 วันก็จะมีรอบเดือนครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมาวันแรกวันที่ 20 กันยายน นับมาอีก 28 วัน ครบ28 วันตรงกับวันที่ 17 ตุลาคม พอวันที่18 ตุลาคมรอบเดือนก็จะมา เดือนหน้านับไปอีก 28วัน ก็จะครบ28วันตรงกับวันที่14 พฤศจิกายน รอบเดือนก็จะมาวันที่ 15 พฤศจิกายน อย่างนี้เรียกว่ารอบเดือน"มาสม่ำเสมอ" หรือ"มาตรงกำหนด" (แต่ไม่ตรงวันที่ของปฎิทิน]

หรืออีกคนมีระยะรอบเดือน 32 วัน ก็แปลว่าทุกๆ 32 วันจะมีรอบเดือนมาครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมา วันที่ 11 เมษายน นับมาอีก 32วัน จะครบวันที่ 12 พฤษภาคม ดังนั้นวันที่ 13 พฤษภาคมรอบเดือนก็จะมา คนๆนี้ก็สามารถคาดได้ว่าเดือนมิถุนายน รอบเดือนจะมาวันที่ 14 มิถุนายน ช่วงปลอดภัยของเธอคือ 7 8 9 10 11 12 13 มิถุนายน

กรณีที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถใช้วิธีนับวันปลอดภัยได้ 

อย่างบางคน รอบเดือนมาสะเปะสะปะ เดือนก่อนโน้น มาวันที่ 15ของปฏิทิน เดือนต่อมามาวันที่ 12 แล้วเดือนต่อมามาวันที่ 19 หรือเอาแน่นอนไม่ได้ มาบ้างไม่มาบ้าง อย่างนี้จะใช้วิธีนับวันปลอดภัยไม่ได้

ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันมีรอบเดือนจะปลอดภัยไหม

โดยปกติก็ปลอดภัย ถ้ารอบเดือนคุณไม่มามากกว่าคราวละ 7วัน

ถ้ามีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไปวันสองวันจะปลอดภัยไหม

กรณีนี้ต้องอธิบายยาวหน่อย สิ่งแรกที่คุณต้องทราบก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีไข่สุกแล้วไม่มีการปฏิสนธิ อีก 14 วันรอบเดือนก็จะมา สมมุติว่าไข่ตกวันที่ 12 มิถุนายน แล้วไม่มีเพศสัมพันธ์กันเลย วันที่ 26 มิถุนายน รอบเดือนก็จะมา

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไข่จะตกเมื่อไหร

คนที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาสะเปะสะปะ มาบ้างไม่มาบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้ ก็ไม่มีทางคำนวนได้

แต่ถ้ารอบเดือนมาสม่ำเสมอ คุณกะวันที่รอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ คุณก็สามารถกะวันไข่ตกได้ เช่น ระยะรอบเดือนของคุณมาทุก 26 วันแน่นอน ครบ 26 วันก็มา อย่างนี้คุณก็สามารถกะวันรอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ เช่น เดือน มิถุนายน รอบเดือนมาวันที่ 11 นับไปอีก 26 วัน ก็ตรงกับวันที่ 6กรกฏาคม ดังนั้นเดือนกรกฏาคม รอบเดือนควรมาวันที่ 7

นับถอยหลังมา 14 วัน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มิถุนายน ก็คือวันไข่สุก นั่นคือวันไม่ปลอดภัยสุดๆ

แต่การสุกของไข่ก็ไม่ได้เป๊ะๆ อย่างนั้น อาจสุกก่อนหน้านั้นสองวัน หรือหลังนั้นวันสองวันก็ได้ จึงต้องเผื่อไว้อีก 4 วัน คือวันที่ 21 22 24 25 ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมี 5 วัน คือวันที่ 21 22 23 24 25 มิถุนายน

แต่ไข่เมื่อสุกแล้วก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ผสมได้อีก 24 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 1วัน คือวันที่ 26 (สมมุติว่ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 26 ไข่สุกวันที่ 25 ก็ยังท้องได้) ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงเพิ่มมาอีก 1 วัน รวมเป็น 6 วันคือ 21 22 23 24 25 26

ยัง..ยังไม่หมดแค่นั้น เชื้ออสุจิเมื่อเข้ามาในตัวหญิงนั้น มีคุณสมบัติที่จะผสมกับไข่ได้อีก 48 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 2 วัน คือวันที่ 19 20 (ถ้ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 แล้วเกิดไข่สุกวันที่ 21 ก็ท้องได้ ) รวมแล้ววันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาเป็น 8 วัน คือวันที่ 19 20 21 22 23 24 25 26 จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วัน (รอบเดือนมาวันที่ 11 และ7 วันหลังคือ 11 12 13 14 15 16 17 ) คือวันที่19 ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว

แต่ถ้าเกิดระยะรอบเดือนคุณยาว เช่น 33วันมาครั้ง (ดูตามปฏิทิน รอบเดือนจะเลื่อนออกไปทุกเดือน) กรณีนี้สบายใจได้หน่อย

ยกตัวอย่างกรณีข้างต้น เป็นอีกคนที่มีระยะรอบเดือน 33 วัน รอบเดือนมาวันที่ 11 มิถุนายน คราวต่อไป(นับไปอีก 33 วัน) รอบเดือนก็จะมาวันที่ 14 กรกฏาคม ไข่คนนี้จะสุกวันที่30มิถุนายน (นับถอยหลังมา 14 วันจากวันที่ 14) วันไม่ปลอดภัย 8 วันนั้นคือ 26 27 28 29 30 มิถนายน 1 2 3 กรกฏาคม ดังนั้นถ้าคนนี้มีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 (เลย 7วันหลังมา 2วัน) ก็ยังอุ่นใจว่า ยังห่างจากวันไม่ปลอดภัยแยะ ก็ไม่น่าตั้งท้อง
จะเห็นได้ว่า คน สองคนมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วันเหมือนกัน แต่โอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าระยะรอบเดือนของคนนั้นสั้นหรือยาว

สรุป

1. ถ้ารอบเดือนคุณมาไม่ส่ำเสมอ ก็อาจมีเพศสัมพันธ์ช่วงมีรอบเดือนได้ค่อนข้างปลอดภัยถ้ามีรอบเดือนไม่เกิน 7วัน

2. ถ้าระยะรอบเดือนของคุณสั้น การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันหลังโดยเฉพาะวันท้ายๆก็หมิ่นเหม่ทีเดียว

3. การจะใช้วิธีนับวันปลอดภัย 7 หน้า 7 หลัง ควรเป็นคนที่มีรอบเดือนมาส่ำเสมอ

4. หลังจาก "7 วันหลัง" (นับจากวันแรกที่รอบเดือนมา) แล้ว ความปลอดภัยจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 วันอันตรายที่ไม่ปลอดภัยคือช่วงเสี่ยงสุดๆ พอพ้น 8วันอันตรายไปแล้ว ความปลอดภัยก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น จนถึง 7วันก่อนรอบเดือนคราวหน้าจะมาก็จะเป็นช่วงปลอดภัยหายห่วงอีกครั้ง


เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว มีวารสารการแพทย์ฉบับหนึ่ง
ได้รายงานการวิจัยหญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ 28 วัน
จำนวนประมาณ 200 คน พบว่า ความรู้เดิมๆที่เราเคยเชื่อกันว่า
มีไข่ตกในช่วง 8 วันอันตรายนั้นไม่จริงเสียแล้ว
ถ้าเปรียบการตกไข่เหมือนฝนตกแล้ว
ฝนจะตกชุกในช่วง 8 วันอันตราย ส่วนวันอื่นๆก็อาจมีฝนตกได้บ้างเปาะแปะ
รวมทั้ง 7 วันแรกที่มีรอบเดือน และ 7 วันก่อนมีรอบเดือนก็อาจมีไข่ตกได้ อย่างไรก็ตามผู้รายงานสรุปว่า จำนวนตัวอย่างที่ทำยังน้อย
คงต้องทำมากกว่านี้เพื่อหาคำอธิบายว่าทำไม่จึงเป็นอย่างนั้น
สำหรับผมจึงอยากเตือนว่า การใช้วิธีนับวันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก
ถ้ายังไม่แต่งงานแล้วมีเพศสัมพันธ์ละก็
ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพสัมพันธ์ดีที่สุดครับ

มารู้จักยาทากันยุงกันดีกว่า

ระยะนี้เป็นฤดูฝน คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคงจะกังวลเรื่องไข้เลือดออกที่มักจะระบาด กัน ในช่วงนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็รณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะ พันธุ์ยุงลาย ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ป้องกันไม่ให้มีน้ำขังในบ้าน น้ำที่รองขาตู้ กับข้าวก็ให้เอาน้ำส้มสายชู หรือเกลือผสมลงไป รวามทั้งหาฝาโอ่งน้ำ ถังน้ำ ตุ่ม น้ำในบ้าน เพื่อป้องกันยุงมาวางไข่ นอกจากนี้ยังอาจใช้ยาฆ่ายุง ยากันยุงรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งในท้องตลาดมีด้วยกันหลายยี่ห้อ ปัจจุบันยาทากันยุง เป็นวิธีป้องกัน ที่เริ่มใช้กันแพร่หลาย มีโฆษณาให้เห็นกันทั่วไป ราคาไม่แพง และใช้สะดวก มีทั้ง แบบน้ำและแป้งฝุ่น แต่เราควรรู้ว่าจะเลือกใช้ชนิดใด จึงจะดีและปลอดภัยที่สุด สำหรับครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา

ส่วนประกอบของยาทากันยุงมักจะเป็นสาร Diethyltoluamide, Dimethyl Phthalate ซึ่งกลิ่นไอของสารสามารถไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าใกล้เรา ชนิดน้ำอาจใช้ แอลกอฮอล์ผสม เนื่องจากสารดังกล่าวละลายในน้ำไม่ดี นอกจากนี้ยังอาจมีสารอื่น ๆ ช่วยในการแต่งสีหรือกลิ่น ทำให้ยาน่าใช้มากยิ่งขึ้น ยังสามารถนำมาใช้ทากันยุงบน ผิวหนัง เสื้อผ้า แต่ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะมีรายงานว่าอาจเกิดอันตราย ถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไปในเด็กเล็ก จึงควรใช้มุ้งหรือมุ้งลวดป้องกัน ยุงกัดจะดีกว่า หากจำเป็นให้ทายาเพียงเล็กน้อยที่บริเวณที่เสื้อผ้าของเด็กแทน ที่จะถูกผิวโดยตรง สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ไม่ควรทาใกล้ตา ผิวหนังที่เป็นแผลหรือ เนื้อเยื่ออ่อน หากเผลอรับประทานเข้าไปควรทำให้อาเจียนโดยใช้นิ้วล้วงคอ แล้วรีบ นำส่งโรงพยาบาล ทันที
นอกจากสารเคมีแล้วยังมีสมุนไพรหลายอย่างที่ช่วยไล่ยุงได้ เช่น ตะไคร้หอม ซึ่งมี สาร Citronella oil และไอของสาร Citrus oil จากการเผาเปลือกส้ม ซึ่งจะมีความ ปลอดภัยมากกว่า แต่เราก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน

ยุงนำโรคอันตรายถึงชีวิต หากคิดใช้ยากันยุงต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง แล้วเรา จะปลอดทั้งโรคและภัย มีความสุขทั้งครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อ­มีความเครียด

ร่างกายเราต้องการอาหารเหมือนกับรถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อใช้เป็นพลังงานในการ ขับเคลื่อน และน้ำมันเครื่องนั้นก็ต้องเหมาะสม เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ในความเร่งรีบของชีวิตประจำวันอาจ ทำให้หลายคนไม่ได้พิถีพิถันกับการเลือกอาหาร คิดแค่ว่ากินอะไรก็ได้เพื่อให้มี แรงทำงาน โดยไม่ใส่ใจว่าอาหารนั้นให้สารอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์หรือไม่ บางคน ดำรงชีวิตระหว่างชั่วโมงทำงานที่เคร่งเครียดด้วยกาแฟนับสิบถ้วย ขนมหรือของว่าง ตามแต่จะหาได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันจึงจบด้วยอาหารมื้อใหญ่ หลังจาก นั้นไม่นานก็ต้องรีบเข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เร่งรีบในวันต่อไป แต่ บางครั้งความเครียดที่สะสมมาทั้งวันหรืออาหารมื้อใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป กลับส่งผล ให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ ซ้ำยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น หากดำรงชีวิตเช่นนี้ไป เรื่อยๆ สุขภาพคงค่อยๆ เสื่อมถอยลดลง

เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทาง ปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมี ความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้ เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเครียด

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบ คุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล

จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหาร ทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดู ตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง

ตัวอย่างเมนูคลายเครียด
อาหารเช้า :น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/ น้ำผลไม้
อาหารกลางวัน :ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้ หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผล ไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต ชนิดพร่องไขมัน
อาหารเย็น :ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด

อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทาง ตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมี ประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิด ต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างของอาหารเหล่านี้ เช่น แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็น ต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่ เหมาะสม เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการ สูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)

นอนแบบไหนหลับสบาย

การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อย ล้า.... 

ซึ่งนพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวเอาไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อ การนอนถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่มีในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึง เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วย ความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็ หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบ ว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ 

ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบาง ท่านอาจชอบนอนคว่ำ แล้วท่าไหนละ! ที่นอนแล้วสบายที่สุด

นอนหงาน,ท่านอนหงาย,คูมือสุขภาพ ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่า นอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกัน กับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของ หัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้ อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย 
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่า นอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย

นอนตะแคงขวา,ท่านอนตะแคงขวา,คูมือสุขภาพ 
ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจ เต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวด หลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

นอนตะแคงซ้าย,ท่านอนตะแคงซ้าย,คูมือสุขภาพ ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วย ลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณ ลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะ อาหาร 

ท่านอนตะแคง หากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสอง ข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหา หมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนว ระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับ กระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว

นอนคว่ำ,ท่านอนคว่ำ,คูมือสุขภาพ ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวด ต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น คอ โดยท่านอนคว่ำนี้ถือว่าเป็นท่านอนที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูก สันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคง หน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย 

นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่าง หมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน


หมอนหนุนคอ,หมอนหนุน,หมอนที่ใช้หนุนคอ,คู่มือสุขภาพ หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามี ส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็ง ได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดยทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอ ยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่ แหงนมากเกินไป มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดย ไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบ ใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุน หมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่ รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคา ถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอ ให้กับคุณได้ดีทีเดียว ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กัน อยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่สำหรับ ที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้ กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ, หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้อง ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอน ที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว 

เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การ รักษาที่ถูกต้องต่อไปนะค่ะ

ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด

ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอดคงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมาก

-น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง

- รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี

-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม

- รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน

- รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น

- ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ตามสรรพคุณยาที่กล่าวมา ยังเป็นไม้ที่มีความเชื่อตามวัฒนธรรมประเพณีไทย ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยากระทั่งจนถึงปัจจุบัน คือ เป็นไม้มงคล ซึ่งตามตำราปลูกต้นไม้ตามอักษรนาม ประจำทิศว่าไว้..

“ทิศที่ควรปลูกต้นไม้มงคล ทิศบูรพา ให้ปลูกไผ่ กุ่ม และมะพร้าว ทิศอาคเนย์ ให้ปลูกต้นยอและสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกมะม่วง กับ มะพลับ ทิศหรดี ให้ปลูกชัยพฤกษ์ สะเดา ขนุน และพิกุล ทิศประจิม ปลูกต้นมะขาม จะช่วยป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกรายอีกทั้งต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม ยำเกรง”

ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค

ผู้หญิงสมัยนี้อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่อง
อาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มี
น้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่
ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้
กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่ว
เหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่
ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ
จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะ
ปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่ง
ที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ
รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยาก
เรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การ
ให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียน
เรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มี
ความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึง
เป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงาน
นานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้
เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแล
และฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี